ไมแอสทีเนียเกรวิส(Myasthenia gravis) เป็นโรคเรื้อรังที่หายากโรคหนึ่ง ไม่ค่อยมีใครเขาเป็นกัน แต่เป็นโรคหนึ่งที่สาหร่ายสไปรูลิน่าช่วยเหลือได้ เป็น ในหญิงมากกว่าชาย 2 เท่า เป็นโรคเรื้อรัง มีอาการ กล้ามเนื้อบางส่วนอ่อนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน บริเวณใบหน้า เช่น ตา ปาก  สาเหตุ กระแสประสาทถูกขัดขวางโดยสารตัวหนึ่งที่ร่างกายสร้างขึ้นเองทำให้ไม่สามารถส่งทอดไปสั่งการให้กล้ามเนื้อทำงานได้ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อเล็กๆบริเวณใบหน้า อาการ -ที่พบได้บ่อย คืออาการหนังตาตก (ตาปรือ) ซึ่งมักจะเกิดเพียงข้างเดียว -กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นๆหายๆ -อาจมีอาการตาเข เห็นภาพซ้อน ถ้าเป็นมากขึ้น อาจมีอาการพูดอ้อแอ้ กลืนลำบาก พูดเสียงขึ้นจมูก หรืออาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายร่วมด้วย อาการเหล่านี้มักเป็นตอนสาย ๆ หรือตอนบ่าย โดยที่ตอนเช้ายังเป็นปกติดี ครั้งหนึ่ง ๆ จะเป็นอยู่นานหลายวันถึงหลายสัปดาห์ แล้วหายได้เอง แต่อาจกำเริบได้อีก - ในรายที่เป็นมาก อาจมีอาการอ่อนแรงของแขนขาบางส่วนจนลุกขึ้นยืนหรือเดินไม่ได้ และถ้าเป็นรุนแรงก็อาจทำให้กล้ามเนื้อช่วยหายใจเป็นอัมพาต หยุดหายใจตายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2 ปีแรก หลังมีอาการถือว่าเป็นช่วงวิกฤตที่อาจเกิดอันตรายได้มาก แต่ถ้าเป็นนานเกิน 10 ปีขึ้นไป อาการก็มักจะไม่รุนแรง -อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ มักจะเป็นมากขึ้นหลังเป็นไข้หวัด ตื่นเต้นตกใจ ร่างกายเหนื่อยล้า นอนไม่หลับ ขณะมีประจำเดือน หลังกินอาหารพวกแป้งหรือน้ำตาลมาก หรือหลังดื่มเหล้า การวินิจฉัยโรค อาการกล้ามเนื้อบางส่วนอ่อนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบริเวณใบหน้า เช่น ตา ปาก หากสงสัย ควรไปโรง พยาบาล เพื่อทำการทดสอบโดยการฉีดนีโอสติกมีน (Neostigmine) 1.5 มิลลิกรัมเข้าใต้หนัง หรือ ฉีดเทนซิลอน (Tensilon) 10 มิลลิกรัม เข้า หลอดเลือดดำ ถ้าอาการดีขึ้นทันที แสดงว่า เป็นโรคนี้ การรักษา 1.การรักษาโดยใช้ยา 1.1 นีโอสติกมีน ขนาด 15 มก. วันละ 4 ครั้งๆ ละ 1 เม็ดหรือ เมสตินอล (Mestinon) ขนาด 0.6-1.5 กรัมต่อวัน แบ่งให้ทุก 3-4 ชม.  ในรายที่ตรวจพบว่ามีต่อมไทมัสโตร่วมด้วย อาจต้อง ผ่าตัดเอาต่อมนี้ออก ซึ่งอาจจะช่วยให้อาการดีขึ้น ถ้าการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล ควรให้ยาใน กลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ Corticosteroids ยากลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งระบบภูมิคุ้มกัน และจำกัด การสร้างแอนตี้บอดี้ แต่การใช้ยาพวกนี้นานๆ อาจทำให้เกิดผลกระทบหลายอย่างตามมา เช่น กระดูกบางลง น้ำหนักเพิ่ม เบาหวาน เพิ่ม และ เพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื่อ และเพิ่มการสะสม ของไขมัน 1.2 ยากดภูมิคุ้มกัน Immunosuppressants เช่น azathioprine (Imuran), cyclosporine (Sandimmune, Neoral) หรือ smycopheno late (CellCept).  2.การรักษาโดยไม่ ใช้ยา 2.1 การฟอกเลือด (Plasmapheresis) เป็นการกำจัด แอนตี้บอดี้ที่ทำลายตัวรับสัญญาณประสาท แต่จะต้อง ทำซ้ำทุกๆสองถึงสามอาทิตย์ 2.2 การให้สารอิมมูโนโกลบูลินเข้าหลอดเลือด (Intravenous immune globulin) จะให้แอนตี้บอดี้ ที่ปกติแก่ร่างกาย ซึ่งจะเปลี่ยนการตอบสนองของ ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง น้อยกว่าการฟอกเลือด หรือการกดภูมิคุ้มกัน แต่ต้อง ใช้เวลามากกว่าหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่จะเห็นผล และ จะอยู่ได้อย่างน้อยหนึ่งหรือสองเดือน 2.3 การผ่าตัด(Surgery)จากที่ทราบกันแล้วว่าประมาณ 15% ของผู้ป่วยไมแอสทีเนียเกรวิส จะมีเนื้องอกที่ต่อม ไทมัส แต่โดยส่วนใหญ่เนื้องอกเหล่านี้จะไม่เป็น เนื้อร้าย ยังไม่มีผลยืนยันแน่ชัดว่าการผ่าเอาต่อมไทมัสออกจะมี ประโยชน์จริงหรือไม่ ซึ่งขี้นอยู่กับการตัดสินใจระหว่าง ผู้ป่วยและแพทย์ แต่โดยมากแพทย์จะไม่แนะนำถ้า o อาการของโรคไม่ร้ายแรง o อาการเป็นเฉพาะที่ตา o ผู้ป่วยมีอายุมากกกว่า 60 ปี o  ข้อแนะนำ 1. โรค นี้มักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ควรติดต่อรักษา กับแพทย์เป็นประจำ โดยทั่วไปเมื่อมียากิน ก็มัก จะไม่มีอาการและสามารถทำงานได้เป็นปกติ ทุกอย่าง 2 ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง และทุก ครั้งที่ไปพบแพทย์ด้วยโรคอื่น ๆ ควรแจ้งให้ แพทย์ทราบว่าเป็นโรคนี้ จะได้หลีกเลี่ยงการใช้ ยาที่ทำให้อาการโรค เป็นมากขึ้น 3.ขณะ ตั้งครรภ์ หรือเจ็บป่วยด้วยโรคอื่น ๆ อาจมี อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อมากขึ้นได้ ผู้ป่วย ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ ชิด หากสงสัยว่า อาการกำเริบควรรีบกลับไปพบแพทย์ผู้รักษา ก่อนนัด 4.ผู้ที่เป็นโรคนี้ ควรพกยาฉีดนีโอสติกมีนติดตัวไว้ฉีด เมื้่อมีอาการรุนแรงก่อนที่จะเดินทางถึงโรงพยาบาล ที่มา aclinic.com dctor.or.th sriyothai.ac.th Siamhealth.net ความเห็นของผู่เขียน จากข้อมูลข้างต้น -อาการจะเป็นหนัก หลังเป็นไข้หวัด กิน สาหร่ายสไปรูลิน่าทุกวันจะไม่เป็นไข้หวัด -อาการจะเป็นหนัก หลังตื่นเต้นตกใจ ต้องไปฝึกสมาธิสมาธิ ทำให้เป็นคนดี -อาการจะเป็นหนักเมื่อร่างกายเหนื่อยล้า นอนไม่หลับ กินสาหร่ายสไปรูลิน่าทุกวัน จะแก้ปัญหาได้ -อาการจะเป็นหนัก ขณะมีประจำเดือน อาจเป็นเพราะเสียเลือดออกไป สาหร่าย สไปรูลิน่ามีสารอาหารที่เป็นวัตถุดิบให้ ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขึ้นมาทดแทน อย่างรวดเร็ว จะแก้ปัญานี้ได้ -อาการจะเป็นหนักหลังกินอาหารพวก แป้งหรือน้ำตาลมาก งดอาหารพวกนี้จะ ได้ไม่อ้วน งดแล้วกินสาหร่ายสไปรูลิน่า เสริมป้องกันการขาดสารอาหาร โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง รักษาไม่หาย ปกติ ร่างกายจะรักษาตนเองทำไมคราวนี้จึง ทำร้ายตนเอง เป็นเรื่องผิดปกติที่ ร่างกายผลิตสารชนิดหนึ่งออกมาทำ ร้ายตัวจับกระแสความรู้สึก ต้องมีอะไร สักอย่างที่แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ ยังค้นไม่พบจึงไม่สามารถรักษาให้หาย ขาดได้ ร่างกายเป็นแพทย์ที่ดีที่สุด มีบาดแผล ถ้าไม่ติดเชื้อ ก็หายเองได้ เป็นไปได้ที่ ร่างกายปกติจะผลิตสารชนิดหนึ่งแต่ เนื่องจากได้รับสารอาหารไม่ครบ จึง เพี้ยนไปกลายเป็นผลิตสารอีกชนิดหนึ่ง ที่ทำอันตรายต่อตัวรับกระแสประสาท ถ้าสมมุติฐานนี้ถูกต้อง ผู้ป่วยควรกิน อาหารให้หลากหลาย รวมทั้งอาหารที่ ไม่ชอบ อาหารที่ไม่เคยกิน และกิน สาหร่ายสไปรูลิน่าร่วมด้วย เพราะมีสารอาหารหลายชนิด จะช่วย ป้องกันการขาดสารอาหารได้ เมื่อไม่ขาดสารอาหาร ผู้ป่วยต้องดีขึ้น อย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ไม่เป็นหวัด ไม่อ่อนเพลีย ร่างกายแข็งแรงขึ้น ใครมีประสบการณ์เล่าให้ฟังบ้างนะ ครับที่ ksirisang@gmail.com |